luscious,
13
คนนิสัยไม่ดี
ผมขับรถออกมาจากบ้านของเดือนสิบสองแทบจะทันทีหลังจากนั้นก็ตรงไปยังคอนโดของเซย์
เชื่อเถอะพอเจอหน้าผมหมอนั่นก็จะตอกย้ำอีกตามเคย…ที่พูดได้แบบนี้ก็เพราะผมกำลังเจอกับตัวเองอยู่นี่ไงครับ
“สม-น้ำ-หน้า!!!”
“ไม่ตลก”
“ก็ใครใช้ให้นายยกลูกขึ้นมาอ้างละทั้งๆ
ที่เป็นห่วงแม่ของลูกแทบแย่”
“ก็ท่าทางที่เปลี่ยนไปของเดือนสิบสองมันขัดใจฉันนี่”
จริงๆ
นะครับถ้าเป็นใครก็ต้องบอกว่าขัดใจเพราะเอาแต่นิ่งสยบความเคลื่อนไหวทุกอย่างยังกับคนที่มีลมหายใจแต่ไร้จิตวิญญาณยังไงยังงั้นแหละครับ
“นายไม่คิดบ้างเหรอว่าเดือนสิบสองอาจจะกำลังเปลี่ยนตัวเองแล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับนายนะไอ้พ่อเลี้ยงโง่”
“ด่ากันขนาดนี้เอาปืนมายิงเลยดีกว่า”
“ว่าแต่คนอื่นปากแข็งแล้วทำไมนายไปบอกไปซักทีละว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือเดือนสิบสอง
ไม่ใช่หุ้น บริษัท บ้านหรือแม้แต่คอนโด…ฉันอุตส่าห์ไปเปิดทางให้แล้วนะ”
เซย์ลุกขึ้นยืนกำหมัดเข้าหากันจนแน่นท่าทางของหมอนี่เหมือนกำลังโกรธแทนผมเลยครับ
“เบื้อก!
“นี่เซย์อยากตายเหรอ
รู้ไหมว่าพูดอยู่กับใคร”
“พ่อเลี้ยงโง่!”
ปัง!!!
ด่าผมเสร็จก็หนีหายเข้าไปในห้องทันทีเลยครับ
ฆ่ากันชัดๆ แล้วคราวนี้ผมจะทำยังไงต่อดี…ผมผิด
ไม่สเดือนสิบสองต่างหากที่ผิดก็ดันเปลี่ยนนิสัยกะทันหันจนผมตามไม่ทันแบบนี้แล้วใครมันจะไปรู้เล่า
หรือผมจะโง่อย่างที่เซย์ด่าจริงๆ
-*-!!!
เดือนสิบสอง
บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไรแต่ที่แน่ๆ
คำพูดของพี่เซย์(ขอเรียกแบบนี้ละกันครับตามไอ้จามัน)ทำให้ผมคิดอะไรได้บ้าง
ผมควรจะเปลี่ยนแปลงตัวเองใช่ไหม?
แต่ผมไม่ยอมรับหรอกนะว่าตัวเองปากแข็งในเมื่อที่พูดไปทั้งหมดมันคือความจริง
ผมเกลียดพ่อเลี้ยง
ความจริงที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่และนี่สินะนิสัยปากแข็งของผมที่กำลังทำร้ายตัวเองอยู่…ผมจะไปรักผู้ชายคนนั้นได้ยังไงในเมื่อตอนแรกผมต้องการแค่เงินและความสุขสบายในชีวิตเท่านั้น
แต่พอรับรู้ว่าตัวเองท้องผมกลับไม่ต้องการอะไรอีกเลยนอกซะจากความสุข
การได้เจอเค้าอีกครั้งมันทำให้ผมรู้ว่าความเหงาที่เคยมีกลับหายไปในชั่วขณะแม้ว่าวินาทีแรกที่ได้เจอกันผมจะไล่เค้าออกไปก็ตามแต่นิสัยอย่างพ่อเลี้ยงนะเหรอจะไปไม่มีทางหรอกครับ
สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมก็คือเค้าไม่ได้ต้องการผม
เมื่อรับรู้ว่าผมท้องเค้ากลับต้องการแค่ลูกไม่ว่าจะพูดอะไรสิ่งแรกที่เอ่ยด้วยความห่วงใยคือลูก…ผมรู้สึกแย่นะครับแต่กลับไม่พูดอะไรนอกจากจะเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดและกระทำ
แต่พอเราไปโรงพยาบาลด้วยกันเค้ากลับเรียกผมว่าเมียต่อหน้าหมอนนท์…แล้วก็หายออกไปคุยโทรศัพท์จนผมต้องออกมารอด้านนอก
หมอนนท์บอกว่าผมท้องได้สองเดือนเศษแล้วก็เท่ากับว่าครั้งแรกของผมมันก็ทำให้ผมท้องได้ในเมื่อผมไปอยู่ที่นั่นได้เกือบสองเดือนไม่นับรวมกับที่ผมกลับมากรุงเทพฯ
แล้ว…ครั้งแรกที่เรามีอะไรกันเค้าก็ไม่ได้ป้องกันอยู่แล้วนี่และเหตุการณ์นั่นผมก็จำไม่ได้ด้วยสิว่ามันครั้งเดียวหรือหลายครั้งแต่ที่แน่ๆ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แล้วรู้ว่าตัวเองจะท้อง ผมจะเลือกปกป้อง!!!
เพราะลูกคือข้ออ้างที่ทำให้ผมเจ็บปวดอย่างตอนนี้…เราทะเลาะกันแต่เค้ากลับพาผมมาส่งที่บ้าน ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม หลังจากที่รถคันนั้นลับสายตาไปแล้วผมก็ยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านจนมีคนวิ่งอกมาดูพอเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละครับรีบร้องตะโกนทันที
ผมจำได้ดีว่าเธอคือสาวใช้ที่อยู่บ้านผมมานานทุกอย่างเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
ราวกับว่าพ่อแม่ผมไม่เคยล้มละลายและผมก็ไม่เคยไปอยู่ตรังด้วยแต่มันไม่ใช่อย่างนั้นนะสิครับเมื่อผมเข้ามาในบ้านพ่อกับแม่ก็ยืนรออยู่แล้วเหมือนจะรู้ว่าผมต้องกลับมา
พร้อมทั้งคำบอกเล่าอีกมากมาย…
“พ่อกับแม่ขอโทษ
แต่น่าดีใจที่พ่อเลี้ยงเค้ายกทุกอย่างคืนให้เราแถมทุกอย่างที่ว่าเค้ายังคืนให้ลูกทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นบ้าน หุ้นหรือแม้แต่บริษัทของเรา”
พ่อกับแม่นั่งยิ้มให้กันมองหน้าผมที่นั่งจ้องหน้าท่านแล้วน้ำตาค่อยๆ
ไหลออกมามันบอกไม่ได้ว่ารู้สึกยังไงแต่ผมไม่เคยอ่อนแอหนักขนาดนี้ติดต่อกันเลยในรอบหลายปีที่โตมาได้ขนาดนี้
“…”
“พ่อเลี้ยงเค้ามาคุยกับแม่และพ่อแล้วนะลูก
ทุกอย่างพวกเราสองคนก็เห็นดีด้วย” แม่อธิบายต่อส่วนผมก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วร้องไห้
“…”
“ธุระที่พ่อว่าในตอนนั้นก็คือออกไปคุยกับพ่อเลี้ยง
เค้า…”
“พอแล้ว!
ผมไม่อยากฟังแล้ว…ผมขอตัวนะครับ”
ยิ่งพ่อกับแม่อธิบายมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรแล้วทำไมเค้าต้องทำแบบนี้ด้วย
ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะวิ่งหนีขึ้นมาบนห้อง
บ้านที่ไม่ได้อยู่มานานกลับมาอีกครั้งทำไมมันถึงรู้สึกแบบนี้หรือเพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ผมต้องการจะอยู่อีกแล้ว
ร่างกายและหัวใจของเดือนสิบสองมันต้องการจะอยู่ที่ไหนกันแน่?
เมื่อวานหลังจากลงมากินข้าวกับพ่อและแม่เสร็จผมก็ขอตัวขึ้นไปบนห้องทันที
เพราะตลอดเวลาพ่อกับแม่ก็เอาแต่พูดถึงพ่อเลี้ยงจนสมองของผมมันจดจำแต่เค้าไปหมดแล้ว
ผมอยากเหลือพื้นที่ว่างๆ ให้สมองของตัวเองบ้างไม่ใช่ว่าเรียนรู้ที่จะจำแต่เรื่องของเค้า…
แต่พอมาวันนี้พ่อกับแม่ก็ยังคงพูดเหมือนเดิม…พูดแต่เรื่องของพ่อเลี้ยง
“ผมจะออกไปข้างนอกนะครับ”
ผมเหลืออดกับคำพูดพวกนี้ก่อนจะลุกพรวดขึ้นแล้วรีบเดินออกไปข้างนอก
“ถ้าจะไปให้คนขับรถพาไปไหมลูก”
เสียงของพ่อตะโกนตามหลังผมมาติดๆ
“ผมจะไปเองครับ”
“ถ้างั้นรถของลูกจอดอยู่ที่เดิมนะ
J”
แม่เป็นคนพูดขึ้นมา
ผมหันไปมองหน้าพวกท่านสลับกันก็เจอแต่รอยยิ้มที่มองมาเท่านั้นเอง
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไรกันแน่?
ผมรีบเดินไปขึ้นรถของตัวเองก่อนจะขับออกไปหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาไอ้จาแต่โทรเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมรับสายสักทีจนผมชักจะโมโหแล้วสิครับ
แต่จู่ๆ มันก็กดรับซะงั้น
“ฮัลโหล”
เสียงของมันเหมือนคนที่เพิ่งผ่านสงครามมาเลยละครับ
“มึงอยู่ไหนเนี่ย
แล้วโทรไปทำไมเพิ่งรับสาย”
“กูอยู่กรุงเทพฯ
พ่อบ้าส่งกูมาอยู่กับใครก็ไม่รู้”
ไอ้จาว่าน้ำเสียงของมันเหมือนกำลังโกรธไม่ต่างไปจากผมเลยละครับ “ถ้าเจอพ่อกูเมื่อไหร่ฝากจัดการด้วยนะ”
“ดีเลยเพราะกูก็อยากรู้เหมือนกันว่าพ่อมึงจะสิงสถิตอยู่ส่วนไหนของกรุงเทพฯ
ได้บ้าง”
“ถ้าไม่อยู่ที่บ้านก็คอนโดพี่เซย์
แต่เช้าๆ แบบนี้พ่อน่าจะไปดูงานที่โรงแรม…ว่าแต่พ่อกูไปหามึงแล้วเหรอ?”
“เออ!
แค่นี้ก่อนนะแล้วกูค่อยโทรไปเล่าให้ฟังใหม่”
ติ๊ด…
ผมแอบได้ยินเสียงร้องห้ามของไอ้จาดังขึ้นมาแต่คงไม่ทันแล้วละครับเพราะผมกดวางสายไปซะแล้ว
ไม่รู้จะเลือกไปที่ไหนดีถึงเลือกจะไปผมก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันแถวไหนเพลียครับเมื่อกี้ก็ลืมถาม
“เอาวะ!” พูดแบบนั้นเสร็จผมก็โทรไปหาไทเปทันที
ไอ้หมอนี่ที่ผมยังไม่ได้จัดการกล้าดียังไงให้คนอื่นเข้ามาในห้องผมแถมยังมีหน้าไปบอกเค้าอีกว่าผมท้อง
ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร
“ว่าไงไอ้คุณหนู”
“กูอยากรู้ว่าตอนนี้พ่อเลี้ยงจอมพลอยู่ที่ไหน?”
“หืม!
แล้ว…”
“มึงไม่ต้องมาพูดเหมือนไม่รู้
ถ้าไม่รีบไปสืบให้กูจะฆ่ามึง”
“เออๆ
โหดชะมัดขอเวลาสิบนาทีแล้วกูจะส่งข้อความไปบอก”
ผมไม่ทันได้เถียงอะไรต่อมันก็กดวางสายไปซะแล้ว สิบนาทีมันนานไปแต่จะทำยังไงได้ในเมื่อผมไม่รู้อะไรเลยนอกซะจากต้องรอ…
ครืด
ครืด
‘ผัวมึงอยู่ที่โรงแรม แถว xxx โชคดีนะครับคุณหนู’
ไม่ทันถึงสิบนาทีด้วยซ้ำไปแถมยังส่งข้อความมาได้น่าตบมากๆ
เดี๋ยวเถอะรอเจอตัวเมื่อไหร่กูจะจับหักคอทิ้งซะเลยโทษฐานหักหลังกันซึ่งๆ หน้า
ยืนอยู่หน้าโรงแรมผู้คนก็เยอะใช้ได้ท่าทางกิจการจะไปได้สวยนะครับ…จากวันนั้นที่ผมพยายามใจเย็นไม่เหวี่ยง
ไม่วีนหรืออาละวาดอะไรมากมายแต่มาวันนี้ผมว่านิสัยเสียๆ
ของตัวเองคงจะแก้ไม่หายแล้วละครับ
“ฉันมาพบพ่อเลี้ยงจอมพล”
“พ่อเลี้ยงประชุมอยู่ค่ะ”
พนักงานต้อนรับบอกกับผมด้วยรอยยิ้ม “ว่าแต่ได้นัดไว้หรือเปล่าค่ะ”
“ไม่นัดก็พบได้
บอกมาว่าเค้าอยู่ไหน”
“ไม่ได้จริงๆ
ค่ะ” เธอบอกกับผมน้ำเสียงหนักใจแต่ก็ยังคงยิ้มอยู่ตลอดเวลา
นี่สินะหน้าที่ของคนให้บริการ
“ถ้าไม่บอกฉันจะอาละวาด”
“อย่านะคะคุณ”
เสียงของพนักงานคนดังกล่าวร้องห้ามเมื่อเห็นว่าผมจับแจกันดอกไม้ที่ตั้งโชว์อยู่ด้านหน้าขึ้นมาถือเอาไว้
ท่าทางทุกคนจะแตกตื่นกันมากๆ เลยละครับถ้าจะขาดทุนก็คราวนี้นี่แหละ
“เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงคุ้นๆ แต่ผมก็ไม่ได้หันกลับไปมองหรอกครับ
“คุณลูกค้าคนนี้มาขอพบพ่อเลี้ยงค่ะ
แต่…”
“ให้เค้าขึ้นไปซะ!”
หืม!
เป็นผมเองนี่แหละครับที่ยอมวางแจกันนี้ลงก่อนจะหันกลับไปมอง
พี่เซย์เองก็ยืนมองหน้าผมแล้วยิ้มให้
“มาจนได้นะครับ
พ่อเลี้ยงประชุมอยู่แต่ใกล้จะเสร็จแล้วไป…”
“ไม่รอเพราะผมจะคุยเดี๋ยวนี้” ไม่ทันที่เค้าจะพูดจบผมก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อนจนเจ้าตัวต้องเงียบไป
“โอเคๆ
อยู่ชั้นบนสุดนะครับ” ตีสีหน้านิ่งไปก่อนจะหันกลับมาสบตากับพวกพนักงาน แขกที่เดินผ่านไปมาก็พากันมองดูผมยกใหญ่เลยครับ
ผมไม่ใช่คนบ้าและที่มานี่ก็เพราะต้องการจะคุยแต่ทำไมต้องรอด้วยละ
ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นผมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะก้าวขาเดินตรงไป
โซนด้านบนก็ยังมีพนักงานอยู่บางส่วนเหมือนกันแฮะ
คนพวกนี้มองมาทางผมอย่างสงสัยแต่ผมกลับไม่สนใจเดินตรงไปยังห้องประชุมทันทีที่รู้เพราะป้ายหน้าห้องมันเขียนไว้
“คุณค่ะเข้าไม่ได้นะคะ”
“หลีกไปซะ!”
ผมขึ้นเสียงใส่จนพนักงานตรงหน้าสะดุ้งก่อนจะออกแรงกระชากแขนแล้วเหวี่ยงไปให้พ้นทาง
แอด!
มือก็กระชากประตูออกทันที
ทุกคนในห้องมองหน้าผมอย่างสงสัยพลางแปลกใจว่าผมกำลังทำอะไร แต่ที่แน่ๆ
คนที่ผมมาหากลับทำหน้าตาไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยด้วยซ้ำไป
“ดิฉันห้ามแล้วนะคะ”
พนักงานคนข้างๆ ผมพูดขึ้นมา
“เธอออกไปก่อน…” ออกเสียงสั่งพนักงาน “ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวนะครับ”
ลุกขึ้นยืนอย่างมาดเท่ห์เชียวครับก่อนจะเดินตรงมาทางผม
แววตาของเค้าอธิบายยากซะจริงๆ แต่หัวใจของผมกลับเต้นแรงกว่าเดิมเลยแฮะ
ตึกๆ
ตักๆ
หมับ!
เค้าไม่แม้แต่จะพูดกับผมสักคำแต่กลับลากผมให้เดินตามออกไปก่อนจะตรงไปยังห้องๆ
หนึ่งเหมือนเป็นทางเชื่อมชั้นบนก็ว่าได้เพราะถ้าเปิดเข้ามาอีกก็จะเป็นห้องนอน
คนรวยทำอะไรก็ไม่ผิดสินะครับ
“ปล่อยได้แล้ว”
ผมว่ากระชากข้อมือของตัวเองออกมา
“ทำแบบนี้ทำไม
ต้องการอะไรอีก!”
ในเมื่อผมใช้ไม้อ่อนแล้วไม่ได้ผลผมก็ไม่จำเป็นต้องใช้นิสัยใหม่ กลับมาเป็นเดือนสิบสองคนเดิมนี่แหละครับดีแล้ว
“…” ไม่ตอบครับเอาแต่นั่งเงียบอยู่ปลายเตียง
มือข้างหนึ่งก็ถอดสูทออกพร้อมทั้งปลดกระดุมที่แขนเสื้อทั้งสองข้างพับมันขึ้นไปอยู่ตรงกลางระหว่างข้อศอกและถอดเนคไทปลดกระดุมเสื้อลงสองเม็ด
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมแล้วจ้องมองอยู่อย่างนี้
“ถาม!!!” ท่าทางนิ่งๆ ของเค้าทำให้ผมไม่ชอบเอาซะเลย
หมับ!
เค้าไม่ตอบอะไรเหมือนเดิมแต่กลับกระชากผมเข้าไปหาตัวก่อนจะบังคับให้นั่งลงบนตักของเค้าโดยท่าทางที่ผมนั่งกวมระหว่างช่วงเอวเค้าอยู่
มันเป็นท่าทางที่เสี่ยงชะมัดเลยครับ L
“ปล่อยนะ” ผมดิ้นไปมาอยู่บนตักของเค้าโดยคนเจ้าเล่ห์เอาแต่กอดเอวผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อผมออกแรงดิ้น
“…” เงียบครับแถมเอาแต่จ้องหน้าผมมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วด้วย
ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ต้องใช้ไม่เด็ด
เพี๊ยะ!!!
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะออกแรงตบเข้าให้ที่หน้าของเค้าจนคนตรงหน้าร้องจ๊ากพร้อมๆ
กับเสียงฝ่ามือทั้งสองข้างกระทบใบหน้าพร้อมกัน
ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าจะเงียบได้นานแค่ไหน
“นึกว่าเป็นใบ้
สมน้ำหน้า!!!”
“เด็กบ้า!
เจ็บชะมัด”
พ่อเลี้ยงยอมปริปากพูดออกมาก่อนจะขมวดคิ้วตีสีหน้าเจ็บปวดให้ผมได้เห็นในใจแอบอมยิ้มสุดๆ
“เมื่อกี้ของจาวามันฝากมาแต่ครั้งต่อไปของ…”
“ตบอีกฉันปล้ำ!”
มือทั้งสองข้างชะงักเลยครับดึงกลับมาไว้ที่ตัวเองแทบไม่ทันก่อนจะเม้มปากเข้าหากันเบือนหน้าหนี
ได้ยินคำว่าปล้ำแค่นี้ทำไมต้องเขินด้วยเล่าไอ้คุณหนู…
>/////////////////<
“งั้นก็ปล่อยสิ”
“ถ้าปล่อยแล้วเราจะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?
นั่งแบบนี้แหละดีแล้ว”
“ไม่ดีเลยสักนิด”
ผมหันกลับมาเถียงจนได้เห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้าที่นั่งมองผมอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ละสายตาไปไหนเลย
เค้าทำแบบนี้ไปทำไม
มันทำให้ผมรู้สึกแย่จังเลยครับ…
“ถ้าไม่ดิ้นแล้วยอมนั่งอยู่เฉยๆ
บางทีอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้แต่ถ้ายังดิ้นอยู่แบบนี้แล้วฉันเกิดมีอารมณ์ขึ้นมาอย่ามาโทษกันนะเพราะเตือนแล้ว”
“คนนิสัยไม่ดี!
L”
ผมว่าเค้าแบนปากใส่เหมือนอยากร้องไห้พูดเอาแต่ได้ทั้งนั้นเลย
ไม่สนใจความรู้สึกของผมบ้าง…
“เฮ้อ!
ฉันยอมให้ด่าและอาละวาดใส่มาเยอะแล้วนะต่อไปนี้เราจะคุยกันให้รู้เรื่องสักทีเพราะมะรืนนี้ฉันต้องกลับตรังแล้ว”
หัวใจผมกระตุกวูบเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูกเลยละครับเพราะคำพูดของเค้าที่บอกว่าจะกลับตรัง
ก็เท่ากับว่าเวลาที่จะอยู่ที่นี่ก็แค่สองวันเอง ทำไมผมต้องรู้สึกเศร้าด้วย
“…”
ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาเอาแต่จ้องหน้าเค้าดวงตาทั้งสองข้างก็สั่นระริกรู้สึกแดงกร่ำคล้ายจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว
“ที่ฉันคืนทุกอย่างให้เพราะอยากจะรับผิดชอบ
ฉันคุยเรื่องนี้กับพ่อและแม่ของนายแล้วพวกท่านก็เห็นดีด้วย…ต่อไปนี้ทุกอย่างก็ไม่ได้มีแค่เราที่รู้แต่คนอื่นๆ
ก็จะรับรู้ด้วยฉันเป็นผู้ใหญ่พอจะรับผิดชอบทุกอย่างที่ตัวเองกระทำเอาไว้”
พ่อเลี้ยงบอกกับผมจ้องหน้าผมอยู่ตลอดเวลา
แต่น้ำตาของผมค่อยๆ
ไหลออกมามีบางอย่างในคำว่ารับผิดชอบของเค้าที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บจังเลยครับ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมจะดีใจและยิ้มเพราะว่าต้องการแค่เงินและอยากจะเอาชนะเค้าโดยไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะรู้สึกยังไงแต่ตอนนี้มันกลับไม่ใช่แล้ว
ทำไมละ?
เดือนสิบสองนายเป็นอะไรไป…
“แล้วถ้าผมไม่ท้องละ?
ยังจะรับผิดชอบอยู่อีกไหม” นั่นนะสิ นี่ละมั้งคืออะไรบางอย่างที่ผมสงสัยในคำว่าอยากรับผิดชอบ
หึ
“เด็กโง่!” พ่อเลี้ยงแสยะยิ้มที่มุมปากพร้อมทั้งยกมือข้างหนึ่งของเค้าขึ้นมาปาดน้ำตาให้ผม
“ต่อให้นายไม่ท้องเรื่องนี้ก็จะเกิดขึ้นเพราะฉันคิดมันไว้ก่อนจะขึ้นมากรุงเทพฯ
ซะอีก…คราวหลังถ้าอยากรู้ให้ถามไม่ใช่พยายามคิดไปเองฝ่ายเดียว”
“ไม่เข้าใจ อะ…อึก จริงๆ เลย ฮือๆ คนใจร้าย”
ผมร้องไห้สะอื้นออกมาหนักขึ้นก่อนจะโผล่เข้าไปกอดเค้าเอาไว้
ไม่เข้าใจพ่อเลี้ยงคนนี้เอาซะเลยแถมยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยว่าทำไมต้องร้องไห้
“ไม่เห็นจะเข้าใจ”
ผมเอาแต่พูดคำๆ นี้แล้วกอดเค้าไว้แน่นขึ้นเรื่อยๆ
พ่อเลี้ยงเองก็ด้วยเค้ากอดตอบผมก่อนจะผละออกไปแล้วกดจูบเบาๆ
ที่เปลือกตาทั้งสองข้างเพื่อซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน ผมกระพริบตาถี่ๆ
จ้องหน้าเค้าไม่รู้จะเขินหรืออยากร้องไห้ดี
“ตอนนี้ฉันอยากได้ทั้งเมียแล้วก็ลูกซึ่งเป็นฉันคนเดียวที่สามมารถครอบครองได้
เพราะฉะนั้นพอจะเข้าใจอะไรได้บ้างไหม…เดือนสิบสอง J”
เอาแต่ส่ายหัวไปมา
ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจ…แต่ทำไมผมต้องยิ้มและรู้สึกตื่นตันใจขนาดนี้ด้วยละครับ
ผมรักเค้าอย่างที่ไทเปว่าเอาไว้แล้วใช่ไหม?
รักโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
“ฮือๆ”
ร้องไห้ซะงั้น ทำอะไรไม่ถูกเพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้ ทั้งๆ
ที่เมื่อก่อนผมก็เที่ยวเตร่ออกจะบ่อยเจอกับพูดหวานหูมากมายแต่ทำไมคำพูดของผู้ชายคนนี้ถึงทำให้ผมจุกจนพูดอะไรไม่ออกเลยละครับ
ที่จุกเพราะดีใจต่างหากละ
“กลับตรังกับฉันนะเดือนสิบสอง
ที่ฉันมาก็เพราะอยากจะตามเมียกลับบ้านแต่ที่ไหนได้ดันมีลูกกลับไปด้วย…”
“บ้า”
>/////////////////<
จะไปเขินทำไม?
“ฮาๆ
เวลาเขินก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ย แต่ก่อนกลับบ้านเรามาเล่นอะไรสนุกๆ ดีกว่า”
ผมจ้องหน้าเค้าขมวดคิ้วยู่หน้าใส่ อะไรละที่ว่าสนุกๆ นะไม่ใช่ว่า…
“อย่างที่คิด”
“อ๊ะ!
ไม่เอาไม่เล่น ปล่อยๆ พ่อเลี้ยงหื่น”
งื้ออออออออออออ…
เชื่อผมว่าไม่รอดท่าทางของเค้ามันฟ้อง
เสียตัว เสียท่าแถมยังเสียหัวใจให้เค้าอีก คุณหนูเพลียครับ ^_^
______________________________________
ครบ 100%
เม้นขยับ ค่อยอัพ
อยากอ่านเม้น...
อย่ามัวแต่อ่านของเค้าสิให้เค้าอ่านเม้นบ้าง TwT
#น้อยจายยยยยยยยย
เม้นขยับ ค่อยอัพ
อยากอ่านเม้น...
อย่ามัวแต่อ่านของเค้าสิให้เค้าอ่านเม้นบ้าง TwT
#น้อยจายยยยยยยยย
สาบาน ว่าสองคนนี้ง้อกันแล้วนะ ฮาๆๆๆๆๆๆๆ
มาต่อเร็วๆนะ
ตอบลบสู้ๆ
ต่อเร็วๆนะพี่แป้งสู้ๆค่ะ^^
ตอบลบมาต่อเร็วๆนะคะค้างมาก
ตอบลบค้างคะมาต่อเร็จๆนะคะ
ตอบลบมาต่อเรวๆๆๆ
ตอบลบมาต่อๆ
ตอบลบมาต่อค๊าาาา เร็วเร๊วววว
ตอบลบอัพต่อออออ
ตอบลบต่อเร็วๆน้า!!!!
ตอบลบมาต่อเร็วๆนะ
ตอบลบต่างฝ่ายก็ต่างประชดกันและกัน แล้วจะคืนดีกันยังไงเนี่ย รอลุ้นนะคะ
ตอบลบู้
ไรท์เตอร์ สู้ ๆ เน้อ
ต่อไวๆนะค่ะไรท์ ^^
ตอบลบจะไปง้อเหรอเดือนสิบสอง =,,=
ตอบลบมาต่อเร็วน้าา~
ตอบลบมาต่อนะๆๆๆๆๆๆๆๆ
ตอบลบมาต่อเร็วๆน้าากำลังสนุกเลย
ตอบลบเดือนสิบสองจะจัดการกับพ่อเลี้ยงยังไงน้าาาาา><
พ่อเลี้ยงงงง ยอมคุณหนูซะที น่าสงสารจะตายยยย
ตอบลบโอ๊ยย เขินอ่ะ ><
ตอบลบเขินนน
ตอบลบจะมาตามเมียได้ลูกกลับไปด้วยเลย
หวานๆๆๆๆๆๆ
แอร๊ยยยย!!! ป๋าจอมหวานปนหื่นนะนั่นหน่ะ ชอบบบบบ
ตอบลบชอบเดือนสิบสองวีนๆแบบนี้แหละ น่ารักดี
อัพไว้ๆนะเขินเลยหวานมากเลย
ตอบลบเรายังคอยเวลาที่ทำให้เราฟินนอยู่่นะค่ะ สู้ๆค่ะ
ตอบลบอ้ายยยย ง้อกันน่ารักมากกกกกกกก
ตอบลบโอยยยยยยโหยววววววว น่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกก พ่อเลี้ยงหื่นตลอดๆอ่ะ
ตอบลบน่ารักมาก ๆ อยากอ่านต่อแล้วสิ
ตอบลบเขินจุงงงงงงงงงงง
ตอบลบน่าร๊ากกก
ตอบลบคุณหนูเขินว่างั้้น คึคึ
ตอบลบในที่สุดเดือนสิบสองก้อยอมรับหัวใจตัวเองสักที ฟินค้างอ่่ะ>///< มาต่อเร็วน่่ะค่่ะ จะรอ
ตอบลบสู้ๆ ><♥♥
ตอบลบนี่ง้อกันแล้วเหรอ น่ารัก5555
ตอบลบเฮ้อออ ดีกันซะทีนะลุ้นแทบตาย
ตอบลบแน่ใจน๊ะเนื่ยว่าง้อแล้ว
ตอบลบพ่อเลี้ยงมุ้งมิ้ง ♥
ตอบลบเครียดและฝุ้นมาตั้งนารในที่สุดก็ยิ้มได้
ตอบลบอ๊ายขอหวานๆกว่านี้อีกอิอิอิอิ
อร๊ายยยพ่อเลี้ยงหวานเจร่ง
ตอบลบแอร๊ยยยยยยยยยยย ฟินเว่ออออออออออ อ่ะ เดือนสิบสองน่าร๊ากที่ซู้ดดดดดดดดดดดดดดด >/////<
ตอบลบอร๊ายยยยยยยย พ่อเลี้ยงพูดงี้แต่แรกก็จบแำหละ ชิ น่ารักกก
ตอบลบเดือนสิบสิงมุ้งมิ้งน่ารักเว่ออออ
เย้ๆๆๆ ในทึ่สุดกะคืนดีกันได้ซะที
ตอบลบลุ้นตั้งนาน