วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

luscious, 19



luscious, 19
ใครกันแน่ที่ต้องง้อ


“ว่าไงนะ?”
อื้อ,
ผมร้องครางงัวเงียขึ้นมาทันทีเพราะเสียงร้องตะโกนของพ่อเลี้ยงราวกับว่ากำลังตกใจอะไรอยู่สักอย่างแต่ที่แน่ๆ มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ที่ทำให้ผมสะดุ้งทั้งๆ ที่ยังง่วงอยู่แบบนี้ พ่อเลี้ยงเอื้อมมือมาจับที่หัวของผมก่อนจะลูบไปมาเหมือนกำลังปลอบใจเพราะท่าทางสะดุ้งของผมมันทำให้เค้ารู้แน่นอนว่าผมตื่นแล้วแค่ไม่อยากลืมตาเท่านั้นเอง
“ฉันจะรีบกลับไป ฝากจัดการทางนั้นด้วยละ”
ผมไม่ได้ลืมตาเพราะยังเหนื่อยจากเมื่อคืนแถมกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแต่ดันต้องมาสะดุ้งในตอนเช้า
จุ๊บ >//////////////<
“เค้าขอโทษที่ทำให้ตกใจแต่เราต้องกลับตรังกันแล้ว” ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ พ่อเลี้ยงมองสบตาลงมาที่ผมแววตาแต่รอยยิ้มของเค้าทำให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดหนักแค่ไหน

“มีอะไรหรือเปล่า” ผมแทบไม่อยากตื่นเลยครับเพราะยังง่วงอยู่ พ่อเลี้ยงช่วยพยุงตัวผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงเค้าก้มหน้าลงมากดจูบที่เปลือกตาผมอีกครั้งก่อนจะขยี้หัวเล่นไปมา

“ที่สวนปาล์มไฟไหม้นะ”

“หืม ? เมื่อไหร่”

“รุ่งสางแต่ตอนนี้ไฟดับหมดแล้ว เราไปอาบน้ำกันดีกว่าเพราะเทพจองตั๋วเช้านี้ไว้ให้แล้ว” คนที่โทรเข้ามาคงจะเป็นพี่เทพสินะ ท่าทางของพ่อเลี้ยงไม่เห็นจะอารมณ์ดีเหมือนตอนที่กำลังยิ้มให้ผมเลย

“พ่อเลี้ยง”
ผมทำหน้าเศร้าจ้องหน้าเค้า พ่อเลี้ยงลุกขึ้นยืนก่อนที่จะขยี้หัวผมอีกครั้ง เค้าไม่ได้พูดอะไรแต่กลับก้มลงมาก่อนจะช้อนร่างของผมขึ้นไปอุ้มเอาไว้พาเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ เมื่อคืนผมไม่ได้อาบน้ำเพราะเหนื่อยจนเผลอหลับไปแต่ท่าทางพ่อเลี้ยงจะเช็ดตัวให้อีกแน่นอน แถมเช้านี้เค้ายังพาอุ้มผมมาอีกน้ำอีกต่างหาก การได้อยู่กับพ่อเลี้ยงถือได้ว่าสบายอย่าบอกใครเลยละครับเพราะเหมือนเค้าจะตามใจและทำอะไรหลายๆ อย่างเพื่อผม
เราไม่ได้แช่ในอ่างแต่อาบน้ำจากฝักบัวแถมใช้เวลาแค่ไม่นานเหมือนพ่อเลี้ยงจะรีบและใกล้ได้เวลาไปเช็คอินกันแล้ว พอออกมาจากห้องน้ำผมก็มัวหาเสื้อผ้าใส่อยู่จนพ่อเลี้ยงแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยไปนานแล้วเค้าใส่แค่เสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงยีนส์ส่วนผมตอนนี้มีแค่ผ้าขนหนูพันอยู่รอบเอวแต่ กกน. ผมใส่ละนะ อิอิ ^_^’

“หันมาสิ” ไม่พูดเปล่าแต่พ่อเลี้ยงกลับรั้งไหล่ผมให้หันไปตามแรงของเค้าด้วยก่อนที่คนตัวสูงจะสวมเสื้อยืดแขนยาวสีเทาให้กับผมแต่ขอบอกว่ามันบางมากส่วนกางเกงก็เป็นขายาวแบบธรรมดาซึ่งเมื่อก่อนผมไม่เคยแตะ
“ใส่เสื้อคลุมทับไปนะ” ผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนที่จะใส่เสื้อทับอีกตัวตามที่เค้าบอก เราไม่ได้เตรียมอะไรกันมากเพราะตอนมาก็ไม่ได้เตรียมอะไรอยู่แล้วส่วนตอนกลับยิ่งไม่ต้องกลับ พ่อเลี้ยงพาผมลงมาด้านล่างก่อนจะเรียกแท็กซี่และตรงดิ่งไปยังสนามบินทันที
ระหว่างที่เช็คอินแล้วรอขึ้นเครื่องโทรศัพท์ของพ่อเลี้ยงก็ดังขึ้นมาอีกผมมองสบตาก่อนที่เค้าจะกดรับสายแต่ก็ไม่ได้ไปคุยที่อื่นนอกซะจากจะนั่งอยู่ใกล้ๆ ผมเหมือนอยากให้ผมรับรู้ด้วย
“ว่าไงเซย์”
“เทพเพิ่งโทรมาบอก จะให้ฉันไปตรังไหม?” ผมได้ยินเสียงของพี่เซย์ชัดเจนเลยละครับน้ำเสียงของเค้าฟังดูเป็นห่วงมากๆ
“ไม่เป็นไร นายจัดการเรื่องที่กรุงเทพฯ ให้เสร็จก่อนละกัน”
“งั้นก็ได้ เสร็จแล้วฉันจะรีบตามลงไป”
“อืม, แค่นี้ก่อนละกันได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว”
พ่อเลี้ยงกดวางสายก่อนจะถอนหายใจเหนื่อยๆ ผมไม่รู้ว่าเค้าต้องเจอกับอะไรบ้างแต่อย่างน้อยในตอนนี้ผมก็ควรให้กำลังใจเค้าสินะครับ

“จอมพล” ผมเรียกชื่อเค้าก่อนจะจับมือหนาข้างหนึ่งเอาไว้บีบเข้าหามือผมจนแน่น พ่อเลี้ยงหันมามองก่อนจะส่งยิ้มเหนื่อยๆ มาให้
“เค้ารู้นะว่าตัวเองเหนื่อย”

“จะอยู่กรุงเทพฯ ไหม จะให้เซย์มารับ” ผมไม่รู้ว่าทำไมพ่อเลี้ยงถึงพูดแบบนี้แต่ถึงยังไงจ้างให้ผมก็ไม่อยู่หรอกครับ
“ไม่อยากให้กลับไปด้วยเป็นห่วง”

“เค้าก็เป็นห่วง ไหนว่าจะปกป้องยังไง”

“งั้นสัญญาได้ไหมว่าจะไม่อยู่ห่างกัน”

“ครับ” ผมรับปากเค้าไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นก่อนที่พ่อเลี้ยงจะออกแรงบีบมือของผม ตอนนี้ได้เวลาที่ต้องไปขึ้นเครื่องแล้วตลอดทางที่เครื่องบินกำลังทยานอยู่บนท้องฟ้าพ่อเลี้ยงเอาแต่เงียบและเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ผมเองก็ไม่กล้าถามอะไรมากนอกซะจากจะเงียบและจับมือเค้าไว้ตลอดทาง
พอกลับมาถึงสนามบินที่ตรังพี่แหวนก็เป็นคนขับรถมารับพวกเราสองคนส่วนพี่เทพอยู่จัดการเรื่องไฟไหม้สวนปาล์มอยู่ที่ไร่ เมื่อมาถึงพ่อเลี้ยงก็ออกคำสั่งให้ผมกลับไปรอที่บ้านทันทีส่วนเค้าก็จะไปที่สวนปาล์มแต่ผมกลับไม่ยอมซะงั้น

“ไหนว่าจะไม่ห่างกัน”

“เดือนสิบสอง”

“เค้าไปด้วยนะ พี่แหวนก็อยู่ทั้งคน” ผมส่งสายตาอ้อนวอนจนพ่อเลี้ยงยอมก่อนจะเอื้อมมือมาจับข้อมือผมเอาไว้แล้วพาเดินตรงไปยังสวนปาล์มทันที
บรรยากาศไม่ค่อยประเทืองอารมณ์เดือนสิบสองเลยละครับถ้าเป็นเมื่อก่อนลากให้ตายผมก็ไม่มีทางเข้ามาในสวนปาล์มแน่นอนแต่ทำไมตอนนี้ผมถึงเป็นฝ่ายขอร้องที่จะตามพ่อเลี้ยงมาแบบนี้ก็ไม่รู้สิครับแต่ที่แน่ๆ ผมเป็นห่วงเค้า
แต่ตอนนี้เดือนสิบสองน่าจะห่วงตัวเองก่อนดีกว่าครับ
อ๊ะ!
อะอ้วก ก กกก ก
แค่ก แค่ก
อยากจะบ้าตายทำไมต้องมาแพ้ท้องตอนนี้ด้วยเนี่ย แถมควันไฟที่ยังดับไม่สนิทยังฟุ้งไปซะทั่วจนหายใจไม่ออกแทบอ้วกหมดไส้หมดพุงเลยทีเดียว
“เดือนสิบสอง” พ่อเลี้ยงวิ่งเข้ามาหาก่อนจะลูบหลังให้กับผมท่าทางมีแววผมจะไม่ได้ตามเค้าไปแล้วมั้งเนี่ย
“กลับบ้านเลยนะ”

“ไม่กลับ!” เอาวะขอใช้นิสัยแบบเดิมๆ หน่อยละกัน ผมจ้องหน้าพ่อเลี้ยงอย่างไม่ยอมแพ้แถมสีหน้าของเค้าก็ดูเหมือนจะไม่พอใจท่าทางของผมด้วยดูก็รู้ว่าเค้าเป็นห่วงแต่ผมนี่สิที่อยากดื้อและตามไปดูให้แน่ใจว่าเค้าจะปลอดภัย

“ฉันบอกให้กลับ!!!” สะอึกไปสิครับเพราะพ่อเลี้ยงกำลังขึ้นเสียงใส ผมแบนปากจ้องหน้าพ่อเลี้ยงแววตาแดงกร่ำ

” พูดไม่ออก บอกไม่ถูกพ่อเลี้ยงดุผม

“มีอะไรหรือเปล่าครับพ่อเลี้ยง” เสียงของพี่เทพดังขึ้นมาซะก่อนพ่อเลี้ยงเลยเลิกสนใจผมก่อนที่จะหันไปคุยกับพี่เทพส่วนพี่แหวนก็เดินเข้ามาหาก่อนจะช่วยพยุงผมเอาไว้

“เปล่า! ก็แค่เด็กดื้อ” ตอบคำถามไปเบือนหน้ามามองผมก่อนจะหันกลับไป “ทางนี้เรียบร้อยดีหรือเปล่า”

“ตอนนี้ไฟดับหมดแล้วครับ แต่คนงานดูจะบาดเจ็บไปหลายคนตอนที่ช่วยกันดับไฟ ดูเหมือนพวกมันตั้งใจจะเผาตั้งแต่ฝั่งแดนทางริมเขาครับ” พี่เทพตอบคำถามสีหน้าของพ่อเลี้ยงดูไม่ดีเลยครับเหมือนเค้ากำลังหนักใจ แม้ว่าความเสียหายจะไม่มากเท่าที่เค้ามีอยู่แต่อย่างน้อยพ่อเลี้ยงก็ถูกหยามหน้าไปซะแล้ว

“แล้วไอ้คมละ?”

“ผมอยู่นี่ครับพ่อเลี้ยง แค่กๆ” เสียงของนายคมดังขึ้นมาจากด้านหลังทำเอาผมตกใจแทบแย่ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไงในเมื่อจู่ๆ ก็โผล่มาแถมยังมาทางด้านหลังอีกต่างหากคนยิ่งใจไม่ดีอยู่

“เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ”

“ผมแค่ตกใจนะครับ งั้นเรากลับบ้านกันเถอะผมไม่อยากทะเลาะกับคนแก่” พี่แหวนถามผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่ผมกลับตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ดังพอจะทำให้เค้าได้ยิน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“ผมแค่สำลักควันไฟตอนไปช่วยคนงานดับไฟก็เท่านั้นเองครับ”

“อืม, งั้นก็ไปพักผ่อนซะ” ถึงแม้ว่าผมจะเดินออกมาแล้วก็ตามแต่ที่แน่ๆ ผมยังได้ยินเสียงเค้าชัดแจ๋วเลยทีเดียว พ่อเลี้ยงบ้าน่าหมั่นไส้ที่สุดเลยคนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วงแต่ทำไมต้องมาขึ้นเสียงดุใส่ด้วยเนี่ย

“พี่แหวนผมหิว” พอกลับมาถึงบ้านผมก็กระทืบเท้าจนดังสนั่นเดินตรงไปนั่งที่โซฟา รู้สึกหมั่นไส้พ่อเลี้ยงไม่หายเลยเนี่ยคนอะไรก็ไม่รู้ชอบวางมาดแถมยังชอบดุผมอีกต่างหาก

“งั้นเดี๋ยวพี่แหวนไปหาอะไรให้กินนะค่ะ” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นไปเปิดทีวีหยิบรีโมตมาเลื่อนช่องต่างๆ ไปเรื่อยๆ แถมยังไม่ลืมยกขาขึ้นไปพาดกับโต๊ะที่ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างโซฟาอีกต่างหาก
อยากทำตัวเป็นคุณหนูนิสัยแย่ๆ แบบเดิมอีกครั้ง ให้มันรู้ไปสิว่าพ่อเลี้ยงจะไม่สนใจนี่แหละวิธีเรียกร้องความสนใจชั้นดีเยี่ยมเลยทีเดียว

หึหึ!!!


“พี่แหวนทำอาหารเสร็จแล้วเหรอครับ” ผมไม่ได้สนใจว่าใครกำลังเดินมาแต่ก็คงไม่ใช่พ่อเลี้ยงแน่นอนเพราะเค้าคงยังอยู่ที่สวนปาล์ม
” พี่แหวนไม่ยอมตอบคำถามแต่ทำเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดก่อนจะเดินหายออกไปและนั่นกลับทำให้ผมนึกสงสัยก่อนจะลุกพรวดขึ้นนั่งมองไปรอบๆ แต่กลับไม่เห็นใครสักคน
!!!
ผมหันกลับมาสนใจหน้าจอทีวีตรงหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ผมรู้สึกได้ทันทีว่าร่างกายมันเหนื่อยมากจริงๆ จะด้วยอะไรหลายๆ อย่างก็ตามแต่ที่แน่ๆ ผมเหนื่อยสุดๆ จนอยากนอนหลับไปเลยด้วยซ้ำไป
เฮ้อ
ว่างเปล่าจังเลย! ทำไมทางข้างหน้าถึงดูไม่คุ้นเคยแถมยังน่ากลัวอีกต่างหากราวกับว่าผมกำลังเดินหลงทางอยู่ในมุมหนึ่งของโลกที่แสนจะกว้างใหญ่และดูน่ากลัว
ความเหงาก้าวเข้ามา ทุกคนต่างเดินหนีและไม่ต้องการผม สองเท้าก้าวเดินเคว้งคว้างเหลือเกินมันทรมานจริงๆ เลยครับ ทรมานจนแทบจะไม่อยากก้าวเดินต่อไปด้วยซ้ำไป

หมับ!
อ๊ะ! ผมร้องอุทานขึ้นมาอย่างตกใจร่างที่เห็นคือไอ้จาครับ มันกำลังยืนมองผมสายตาดูมีความสุขแต่ใบหน้ากลับเศร้าหมอง
“จามึงเป็นอะไร?” ผมร้องถามก่อนจะจับมือมันเอาไว้ แต่ไอ้จากลับไม่พูดอะไรสักคำสักพักภาพที่ได้เห็นก็หายไปในชั่วพริบตาราวกับว่าไอ้จาไม่เคยยืนอยู่ตรงหน้าผมเลยด้วยซ้ำไป
ผมยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนสติจะกลับมาขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรงแต่ก็ไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวได้แต่เดินไปเรื่อยๆ เพื่อหาใครสักคน

“นี่มันอะไรกัน แล้วทุกคนหายไปไหนกันหมด” ผมหยุดนิ่งอยู่กับที่อีกครั้งมองทางข้างหน้าที่หาจุดหมายไม่เจอพร้อมทั้งหันไปตามทิศทางต่างๆ มองว่ามีใครอยู่ในบริเวณนี้บ้าง แต่ความรู้สึกกลับบอกว่าผมอยู่คนเดียวในสถานที่แห่งนี้

” เงียบ! ไม่มีใคร มันน่ากลัวมากๆ

“พ่อ แม่มีใครอยู่แถวนี้ไหมครับ” ขาทั้งสองข้างก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ปากก็ยังคงร้องเรียกหาพ่อกับแม่ แต่กลับไม่มีใครขานรับผมสักคน


“ทำไมทุกคนถึงหายไปกันหมด จาวามึงอยู่ที่ไหนเนี่ย? พี่แหวน พี่เทพ” เสียงของผมเริ่มเปลี่ยนไปมันสั่นสะอื้นขึ้นมาทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าไม่มีใครขานรับผมสักคน

“ฮือๆ อะอึก หายไปไหนกันหมด”

ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นมาจนทำให้ผมตกใจน้ำตาไหลออกมามากกว่าเดิมได้แต่วิ่งไปตามเสียงปืนที่ได้ยินก่อนดวงตาทั้งสองข้างจะเบิกกว้างเพราะภาพที่ได้เห็นคือพ่อเลี้ยงกำลังถูกยิงร่างสูงล้มลงไปตรงหน้าผมในขณะที่ผู้ชายอีกคนกำลังยืนหันหลังให้ผมและหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
“พ่อเลี้ยง!” ผมร้องเรียกก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหา แต่คนตรงหน้ากลับแน่นิ่งไปซะแล้วเลือดท้วมตัวเลยทีเดียว
“แกเป็นใคร?”
ผมร้องถามทั้งน้ำตา เสียงที่เปล่งออกไปก็สั่นสะอื้นไปซะหมดฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเลยที่ผมถามแบบนี้เพราะมันคลุมหน้าเอาไว้เห็นแค่เพียงดวงตาเท่านั้นแต่แค่นี้ผมคงไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นใคร?

“หึ! แล้วเราจะได้เจอกัน” มันว่าก่อนจะจ่อปืนมาตรงหน้าผมกับพ่อเลี้ยง

“ไม่!
ปัง!
ผมร้องห้ามสุดเสียงแต่กลับไม่ช่วยอะไรได้เสียงปืนดังขึ้นอีกนัดพร้อมทั้งร่างกายของตัวเองที่ล้มฟุบลงไป

“ไม่! พ่อเลี้ยงอะ อึก”
เพล้ง!!!
เสียงปืนหายไปแปลเปลี่ยนเป็นเสียงคล้ายกับอะไรตกแตกดังสะนั่นจนผมตกใจสะดุ้งออกมาจากภวังค์และนั่นกลับทำให้ผมรู้ว่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ผมฝันไป แต่มันกลับเป็นฝันที่น่ากลัวมือทั้งสองข้างกุมหน้าของตัวเองสัมผัสได้ทันทีว่าน้ำตามันไหลออกมาจริงๆ
“คุณหนู” เสียงของพี่แหวนดังขึ้นมาก่อนที่เค้าจะวิ่งมาหาผม “เกิดอะไรขึ้นค่ะ ร้องไห้ทำไม?”
พี่แหวนอ้อมมาฝั่งผมก่อนจะร้องอุทานอย่างตกใจอีกครั้ง “ว๊าย! แจกันตกแตกนี่เอง”

“พี่แหวนพ่อเลี้ยงละครับ” พอนึกออกผมก็ร้องถามขึ้นมาทันทีแต่น้ำตามันกลับไม่หยุดไหล

“ก็

“แหวนเมื่อกี้เสียงอะไร?”
คำถามของผมถูกคลี่คลายทันทีเมื่อพ่อเลี้ยงเดินเข้ามาและร้องถามพี่แหวน น้ำเสียงของเค้าดูตกใจไม่ต่างไปจากพี่แหวนเลยครับแต่ที่แน่ๆ ผมกลับยิ้มออกที่ได้เห็นเค้าและความฝันก่อนหน้านี้จะต้องไม่เป็นความจริง
ถ้าใช่! ผมทนไม่ได้หรอกครับที่จะไม่มีเค้าอยู่ข้างๆ

“เอ่อ, พอดีแจกันตกแตกนะคะ” พี่แหวนตอบคำถามแต่สายตาของพ่อเลี้ยงกลับมองมาทางผม
เหมือนเค้ากำลังโกรธและคิดว่าผมกลายเป็นคนนิสัยแย่ๆ แบบเดิมอีกแน่นอนดูจากสายตาก็รู้และนั่นทำให้ความดีใจหายไปแปลเปลี่ยนเป็นความน้อยใจ

“พี่แหวนผมไม่หิวแล้ว ขอตัวนะครับ” แม้ร่างกายมันจะไม่มีเรี่ยวแรง แค่สายตาของพ่อเลี้ยงที่มองผมมันทำให้สมองไม่อยากคิดอะไรอีกเลย
เหนื่อย
ผมไม่อยากพูดคำนี้หรอกครับแค่มันรู้สึกจริงๆ ก็แค่ทำเหมือนอารมณ์ดีไปก็เท่านั้นเอง

แอด,
ผมเดินกลับเข้ามาที่ห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไป เดินไปนั่งที่ปลายเตียงถอนหายใจออกมายกเท้าทั้งสองข้างขึ้นมาแต่ความรู้สึกบางอย่างกลับบอกผมว่ามันเจ็บเพราะขาข้างหนึ่งไปกระทบเข้ากับผ้าปูเตียงจนรู้สึกแสบ
ผมยกขาข้างขวาของตัวเองขึ้นมาก็เห็นว่ามีรอยแดงๆ แถมเลือดยังไหลซึมออกมาอีกต่างหากแม้ว่าจะไม่มากแต่มันกลับแสบและเจ็บมากๆ ด้วย
“เฮ้อ! ต้องเป็นตอนที่ปัดแจกันแตกแน่ๆ เลย” ผมถอนหายใจและเพลียกับตัวเองมากๆ เจ็บตัวขนาดนี้แต่กลับไม่รู้สึก “แล้วกล่องยามันอยู่ตรงไหน”
นั่งหันซ้ายหันขวาอยู่ในห้องก่อนที่สายตาจะไปเห็นเข้ากับกล่องปฐมพยาบาลที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง

ครืด ครืด
ผมลุกขึ้นยืนกำลังจะเดินไปที่กล่องปฐมพยาบาลแต่เสียงของโทรศัพท์กลับดังขึ้นมาซะก่อนจนต้องเดินไปหาต้นเสียง ผมจำได้ว่าเก็บมันไว้ในกระเป๋าตอนกลับเพราะนานๆ ทีโทรศัพท์ของผมจะมีสายเข้ามาคงรู้นะครับว่าเพราะอะไร?
ไทเป
โทรมาแบบนี้ทั้งๆ ที่หายไปนาน ใครตาย?
“ว่าไง?”
“โถ่! ไอ้คุณแม่ปากเหรอนั่น” กวนประสาทผมได้ตลอดเวลา เรื่องก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เคลียร์เลย
“มีอะไร คนเค้าไม่ว่างอยู่”
“เอาใจสามีอยู่หรือไงครับ” ผมเกลียดไทเปชะมัดเพราะหมอนี่ชอบพูดจากวนประสาทผมและรู้ทุกอย่างที่แม้แต่ตัวของผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับ
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ตรงประเด็นดี งั้นช่วยกูหน่อยถือว่าขอร้องเพราะป๊าจะบังคับให้กูแต่งงาน”
“หืม? ป๊าก็คิดดีแล้วนี่” ผมมักจะเรียกป๊าของไทเปแบบนี้ส่วนมันก็ไม่ต่างกันจะเรียกพ่อกับแม่ผมอย่างที่ผมเรียก แต่จะว่าไปคนอย่างไทเปถ้าถึงขั้นมาขอร้องผมแสดงว่าจนมุมจริงๆ แล้วครับ
“ไม่ช่วย!” ตอบได้เร็วทันใจมากในระหว่างที่ไทเปมันกำลังเงียบอยู่ “ขนาดตัวเองยังเอาไม่รอด ไม่ว่างช่วย!!!
“อะไรเนี่ย? ใจดำชะมัด”
“ก็แค่มีเมีย” ผมยิ้มขำก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ปลายเตียงแต่ระหว่างที่เดินกลับไปสายตาก็หันไปเห็นพ่อเลี้ยงยืนอยู่ในห้องแล้ว หัวใจผมเต้นแรงมากเมื่อเห็นเค้าก่อนจะปั้นหน้าทำเป็นไม่สนใจและคุยโทรศัพท์ต่อแต่ก็ไม่ลืมนั่งหันหลังให้เค้า
“ถ้าเมียก็ดีสิ ป๊าจะให้กูแต่งงานกับผู้ชาย!!!
อื้อ
ผมร้องครางสะดุ้งออกมา พ่อเลี้ยงนั่งยองๆ ลงตรงหน้าก่อนจะจับขาข้างขวาผมเอาไว้แล้วทายาให้ส่วนผมก็นั่งมองหน้าเค้าแต่ปากก็คุยโทรศัพท์ต่อ
“งะ งั้นเหรอ”
“เกิดผีเข้าทำน้ำเสียงกระตุกทำไมคนยิ่งเครียดๆ อยู่” เสียงของไทเปพูดออกมา แต่ผมไม่มีสมองว่างพอจะฟังเลยด้วยซ้ำและแน่นอนว่าสายตาของผมกำลังก้มมองการกระทำของพ่อเลี้ยงที่นั่งทำแผลให้ผมอยู่
“เฮ้ย! เดือนสิบสองฟังอยู่ไหมเนี่ย”
“ฟัง! ว่าต่อสิ
“ว่าต่ออะไร กูให้มึงช่วยนะ” ผมนั่งฟังเสียงของไทเปที่เข้าหูซ้ายทะลุออกไปทางหูขวา พ่อเลี้ยงทำแผลให้ผมเสร็จก่อนจะลุกขึ้นยืนอยู่ตรงหน้า เค้าไม่ได้เดินไปไหนนอกซะจากจะหยุดอยู่กับที่ผมเลยต้องเงยหน้าขึ้นไปมองจนได้สบตากับเค้า
จู่ๆ พ่อเลี้ยงก็ก้มหน้าลงมาหาผมจนเราอยู่ใกล้กันมากขึ้น ส่วนผมก็ฟังเสียงโวยวายของไทเปแบบขอไปที

จุ๊บ,
“เค้าขอโทษ! อย่าทำให้เป็นห่วงไปมากกว่านี้ได้ไหมขอร้อง”
ตึกๆ ตักๆ
พ่อเลี้ยงกดจูบที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาหวิวผมกระพริบตาถี่ๆ จ้องหน้าเค้าแต่ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเมื่อพ่อเลี้ยงก้มลงมาอีกครั้งพร้อมทั้งกดจูบอย่างอ่อนโยนที่ริมฝีปาก
ให้ตายสิ! ผมกำลังคุยโทรศัพท์กับไทเปอยู่นะ แต่จูบของพ่อเลี้ยงกลับทำให้ผมลืมทุกอย่างแถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือมันตกลงไปอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้สมองของผมไม่รับรู้อะไรแล้วครับนอกจากจูบรสหวานนี้
>/////////////////////<
เขินครับ!!!




___________________________________
ครบ%

ถ้ามันจะเงียบและเหงาขนาดนี้
เค้างึดดดดดดดดด!!!
อยากอ่านเม้นนนนนนนนนนนนนนนนนนน...

ตามจริงปั่นครบไปนานแล้วแถมตอนที่20ก็ปั่นไปแล้ว 
แต่รู้สึกเหมือนมันจะลากเนื้อหาเลยลบปั่นใหม่ตั้งแต่ตอนที่19ที่เพิ่งมาต่อจนครบนี่แหละค่ะ...

ไม่เหนื่อยนะ แต่ก็อัพบ่อยๆ ไม่ได้
#ขอโทษด้วยนะคะ